รีวิว Ghost of Tsushima Director’s Cut : ตำนานนักรบปีศาจฉบับอัปเกรด และเรื่องราวบทใหม่ในเกาะ Iki
หลังประสบความสำเร็จไปแล้วอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2020 ล่าสุด Ghost of Tsushima ก็กลับมาอีกครั้งกับตัวเกมในฉบับ “Director’s Cut” ที่ปรับปรุงใหม่ให้รองรับ PlayStation 5 เต็มรูปแบบ และมาพร้อมเนื้อเรื่องเสริมในเกาะอิคิ (Iki) ที่มีการผจญภัยครั้งใหม่รอคอยผู้เล่นอยู่เบื้องหน้า
ตัวเกมเวอร์ชันนี้จะสนุกขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ คุ้มค่าแก่การอัปเกรดมากน้อยเพียงใด ขอเชิญมาร่วมหาคำตอบได้ในบทความรีวิวของเรา
การเดินทางครั้งใหม่ของจิน ซาไค และบาดแผลจากอดีตที่ยากจะลืม
สำหรับเนื้อเรื่องที่เพิ่มเข้ามาใหม่ จะเริ่มต้นจากที่จิน ซาไค ตัวเอกของเกม สืบพบว่ามีชนเผ่ามองโกลลึกลับกำลังปักหลักอยู่ที่เกาะอิคิ นำโดย “นางพญาอินทรี” หมอผีที่ขึ้นชื่อในเรื่องความเหี้ยมโหด และขณะนี้เธอกำลังระดมกำลังเพื่อเตรียมบุกโจมตีเกาะหลักอย่างสึชิมะต่อไป
จินสัมผัสได้ว่านี่จะเป็นภัยต่อผืนแผ่นดินเกิดเป็นแน่ ทำให้เขาต้องออกเดินทางไปเกาะดังกล่าวด้วยตนเอง สู่ดินแดนที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์และเต็มไปด้วยเหล่าโจร อันเป็นผลกระทบมาจากสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว และทำให้ซามูไรไม่ได้ปกครองพื้นที่แห่งนี้มาร่วมหลายทศวรรรษ
ที่เกาะอิคิ จินก็เหมือนกับคนแปลกหน้า การจะต่อกรกับเหล่า “เผ่าอินทรี” จึงเป็นอะไรที่ยากกว่าวิกฤติครั้งที่ผ่านมา และเขาจำเป็นจะต้องขอความช่วยเหลือจากมิตรสหาย เพื่อปราบนางพญาอินทรีลงให้จงได้ ซึ่งในเวลาเดียวกันนี้ จินก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความทรงจำของตัวเองที่ตามมาหลอกหลอน และเป็นบาดแผลจากอดีตที่เขาจะต้องก้าวผ่านมันไป
ก็นับว่าตรงตามที่ทีมงาน Sucker Punch Productions เคยออกมาบอกก่อนหน้านี้จริง ๆ เพราะทั้งขนาดแผนที่และความยาวของเนื้อเรื่อง จะอยู่ที่ประมาณองก์แรกของตัวเกมหลัก ซึ่งเอาจริงๆ ก็ถือว่ายาวมากแล้วสำหรับการเป็นส่วนเสริม ถ้าไม่นับว่ายังมีสิ่งย่อย ๆ ให้ทำอีกมากมาย
การเล่าเรื่องราวของเกาะอิคิเป็นไปอย่างกระชับ ขณะเดียวกันก็ยังพา Ghost of Tsushima ไปสู่จุดใหม่ ๆ ที่เพิ่มองค์ประกอบความลึกลับ ไสยศาสตร์ และสิ่งที่ยากจะเข้าใจเข้ามามากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
แม้จะน่าเสียดายที่ความสมจริงสมจังของแต่ละฉากถูกลดทอนลงไปเยอะมาก และมีฉากที่จัดวางท่าทางตัวละครอย่างแข็งทื่อให้เห็นบ่อยครั้ง แต่ก็ยังมีจุดที่มอบอิมแพ็คต์ขนานใหญ่ให้กับผู้เล่นอยู่เป็นระยะ ๆ ในระหว่างการสำรวจดินแดนแห่งใหม่ของเกมนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับใครที่อยากทำความรู้จักกับตัวตนของจิน ซาไค ชายผู้เป็นอีกหนึ่งไอคอนของวงการเกมให้มากกว่าที่เคย เรื่องราวของเกาะอิคิก็จะช่วยเติมเต็มความต้องการตรงนี้ได้ดี และนอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องราวปรัมปรา (เควสต์ปลดล็อคไอเท็มพิเศษ) เข้ามาเสริมให้เกาะแห่งนี้ดูมีมนต์เสน่ห์ขึ้นเช่นเดียวกันกับที่สึชิมะด้วย

เกาะใหม่ = สถานที่ถ่ายรูปใหม่ ๆ
เพราะว่าเกาะอิคิมีขนาดกว้างขวางและเต็มไปด้วยแลนด์มาร์คใหม่ ๆ ที่ไม่มีในเกมหลัก จึงทำให้ผู้เล่นมีโอกาสได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติเพิ่มขึ้นไปอีก
ที่ไม่พูดถึงเห็นจะไม่ได้ ก็คือเหล่าน้อน ๆ สัตว์ป่าที่ทีมงานเคยเอามายั่วน้ำลายกันก่อนตัวเกมจะวางขาย ซึ่งจากเดิมที่จะมีสุนัขจิ้งจอกนำทางไปสู่ศาลเจ้าจุดต่าง ๆ ตอนนี้ก็เพิ่ม “เขตอภัยทาน” เข้ามา ให้ผู้เล่นได้แสดงความเคารพกับเหล่าแมวป่า, กวาง และลิง ในรูปแบบของมินิเกม (?) เป่าขลุ่ย ที่ถึงจะดูแปลก ๆ ไปบ้าง แต่ก็ช่วยผ่อนคลายพอสมควร ตัดโทนกับภาพลักษณ์ของเกาะที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากสงครามอันน่าเศร้าหมอง
อีกหนึ่งองค์ประกอบความเป็น Open World ที่เกาะอิคิยังคงมอบให้ผู้เล่นได้ ก็คือ “จุดแวะ” ที่มีมาให้แน่น ๆ พร้อมกับนกสีทองตัวดี ที่จะคอยบินล่อให้ผู้เล่นวิ่งเข้าหาสิ่งยั่วยุเหล่านี้ได้ตลอด วนเวียนอยู่อย่างนั้นจนเนื้อเรื่องไม่ค่อยจะคืบหน้าไปไหน
แต่ด้วยความที่เกาะอิคิถือเป็นดินแดนใหม่ที่เพิ่มเข้ามาจากเดิม ซึ่งเกมเคยออกแบบระบบอัปเกรดมาสมดุลดีแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่ามีโอกาสที่เราจะเมินสิ่งล่อใจเหล่านี้มากขึ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนใหญ่ที่มาถึงเกาะนี้ ก็คือผู้ที่เล่นเกมจนจบ มีชุด มี Build อันเป็นที่พอใจ จนไม่อยากจะเสียเวลากับการฟาร์มเพิ่มอีกแล้วนั่นเอง
ระบบการเล่นคงเดิม เพิ่มเติมท่าใหม่เข้ามาเล็กน้อย
Director’s Cut ไม่ได้ปรับหัวใจหลักของ Gameplay ไปเป็นอื่น จิน ซาไค ยังคงต้องสู้กับเหล่าทหารมองโกลโดยเลือกใช้ 4 กระบวนท่าดาบมาโจมตีให้เหมาะสมกับประเภทศัตรู พร้อมทั้งบริหารค่าพลังใจ ว่าเมื่อใดควรใช้สกิล หรือเมื่อใดควรฟื้นฟูพลังชีวิตให้กับตน
ใน Director’s Cut เราจะคุ้นเคยกับศัตรูอยู่แล้ว เพราะโดยพื้นฐานก็เป็นทหารมองโกลเหมือน ๆ กัน แต่เกมก็เพิ่มศัตรูใหม่เข้ามาด้วยในอัตราที่เหมาะสม โดยหนึ่งในนั้นก็มีคนทรงที่มอบบัฟให้กับผู้อื่น ซึ่งควรจะกำจัดทิ้งแต่เนิ่น ๆ
การเล่นเรื่องราวของอิคิ ยังคงมอบรางวัลให้เป็นเครื่องรางใหม่ ๆ, อัปเกรดระบบเก็บลูกกระสุน, สีย้อมชุดเกราะสีใหม่ รวมไปถึงกระบวนท่าใหม่ ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่นท่าขี่ม้าพุ่งชน ที่ใส่เข้ามาแล้วทำให้สนุกขึ้นอีกระดับหนึ่งทีเดียว เพราะจากเดิมที่เราอาจจะเลือกประจันหน้าเข้าหาทัพมองโกล หรือเลือกซุ่มโจมตีจากที่มืด ถ้าลองเปลี่ยนเป็นควบม้าไล่บี้ศัตรูอย่างไม่บันบะบันยังเสียบ้าง ก็ดูไม่เลวเหมือนกัน
สิ่งหนึ่งที่แม้จะช้าไปหน่อย แต่มีก็ดีกว่าไม่มี ก็คือการเพิ่มระบบล็อคเป้าเข้ามา ช่วยให้เราสามารถต่อสู้กับศัตรูหมู่มากได้โดยไม่เกิดอาการ “หลง” ว่าศัตรูโจมตีมาจากทิศใด และไม่ต้องมาคอยมาหมุนกล้องเอาเองอีกแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ ปุ่มสำคัญ ๆ ของเกมจะอยู่ที่สามเหลี่ยมสี่เหลี่ยมโอเอ็กซ์ ดังนั้นถ้าจะหมุนกล้องในระหว่างต่อสู้ ก็ต้องยกนิ้วโป้งออกมาเพื่อจับอนาล็อกแทน และเสียจังหวะโดยใช่เหตุ
สำหรับพาร์ทของการปีนป่าย บุกป่าฝ่าหน้าผาตามจุดต่าง ๆ ก็ยังมีให้เล่นเช่นเคย โดยจุดนี้ตัวเกมจะเพิ่มให้สามารถใช้ตะขอเกี่ยวสะพาน หรือเกี่ยววัตถุต่าง ๆ แล้วดึงมันลงมาเพื่อเป็นทางไปต่อ หรือใช้กับจุดประสงค์อื่น ๆ ได้ด้วย และถึงมันจะไม่ค่อยน่าทึ่งอะไร แต่ก็คาดว่าทีมงานน่าจะอยากใส่เข้ามา เพื่อโชว์การสั่นแบบ Haptic Feedback รวมไปถึงลูกเล่น Adaptive Trigger ของจอย DualSense เป็นหลัก
ขณะที่หลาย ๆ ส่วนได้รับการปรับปรุงตามเสียงเรียกร้องของชุมชนผู้เล่น แต่จุดที่ไม่สมเหตุสมผลก็ยังมีปรากฏชัด เช่นระบบการตามรอยที่ยังคงดูไม่สมาร์ทเหมือนเคย ผู้เล่นจะต้องกดสำรวจตามจุดที่เกมกำหนดเท่านั้น เพื่อให้ร่องรอยใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นมา ก็เลยกลายเป็นว่าจิน ซาไค เห็นรอยลึกลับที่อยู่ดี ๆ ก็โผล่มาต่อหน้าต่อตาอยู่บ่อยๆ ทั้งที่ถ้าจะทำให้มีรอยเท้าแสดงขึ้นมาไว้ให้หมดตั้งแต่แรก ก็ไม่ได้เสียหายอะไรเลย
โดยรวมแล้ว เรื่องราวของเกาะอิคิยังคงให้ประสบการณ์ Gameplay ในแบบที่ผู้เล่นเกมหลักรู้จัก ส่วนทางฝั่งของโหมดเล่นหลายคนอย่าง Legends นั้นก็ยังไม่ได้มีการปรับปรุงอะไรมาก และต้องรอดูท่าทีของ “Rivals Mode” ที่จะอัปเดตเข้ามาในวันที่ 3 กันยายนนี้อีกครั้ง ว่าหน้าตาจะออกมาเป็นเช่นไร